คู่ฟอเร็กซ์

“เข้าถึงตลาดซื้อขายสกุลเงินโลก ด้วยการดำเนินคำสั่งอย่างรวดเร็วและสเปรดที่แข่งขันได้”

สร้างบัญชี

การเทรดมีความเสี่ยง โปรดดำเนินการด้วยความระมัดระวัง

เงื่อนไขการเทรดคู่ฟอเร็กซ์

สัญลักษณ์ สเปรดขั้นต่ำ สเปรดเฉลี่ย ค่า pip การเปลี่ยนแปลงของราคาขั้นต่ำ มูลค่าของสัญญา
สัญลักษณ์ สเปรดขั้นต่ำ สเปรดเฉลี่ย ค่า pip การเปลี่ยนแปลงของราคาขั้นต่ำ มูลค่าของสัญญา
สัญลักษณ์ สเปรดขั้นต่ำ สเปรดเฉลี่ย ค่า pip การเปลี่ยนแปลงของราคาขั้นต่ำ มูลค่าของสัญญา

เกี่ยวกับการเทรดคู่ฟอเร็กซ์

ลงทะเบียน

ทำไมต้องเทรดคู่ฟอเร็กซ์กับ EC Markets

สภาพคล่องสูงและการดำเนินคำสั่งที่รวดเร็ว

ค่าใช้จ่ายในการเทรดต่ำ
และไม่มีค่าคอมมิชชัน

ใช้เลเวอเรจเพื่อ
โอกาสในตลาดที่มากขึ้น

โอกาสในทุกสภาวะตลาด

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับคู่เงินฟอเร็กซ์

คู่ฟอเร็กซ์ คืออัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสองสกุลเงิน โดยเขียนในรูปแบบรหัสสามตัว เช่น EUR/USD โดยที่สกุลเงินตัวแรกคือสกุลเงินหลัก และตัวที่สองคือสกุลเงินอ้างอิง อัตราแลกเปลี่ยนคู่ฟอเร็กซ์จะแสดงให้เห็นว่าคุณจะได้รับสกุลเงินอ้างอิงจำนวนเท่าใดจากการใช้สกุลเงินหลัก 1 หน่วย ตัวอย่างเช่น หากคู่สกุลเงิน EUR/USD เท่ากับ 1.5 หมายความว่า คุณสามารถซื้อ 1.5 ดอลลาร์สหรัฐ ได้ด้วยเงิน 1 ยูโร ในช่วงเวลาการซื้อขาย เมื่ออุปสงค์และอุปทานสำหรับสกุลเงินหนึ่งสัมพันธ์กับอีกสกุลเงินหนึ่งเปลี่ยนแปลง อัตราแลกเปลี่ยนของคู่สกุลเงินจะเปลี่ยนไปตามอุปสงค์และอุปทานนี้

ไม่มีคู่สกุลเงินใดที่ดีที่สุด การเลือกคู่ฟอเร็กซ์จะขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรด ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และความเข้าใจตลาดของเทรดเดอร์แต่ละคน คู่สกุลเงินหลัก เช่น EUR/USD หรือ USD/JPY เป็นคู่สกุลเงินที่มีการซื้อขายมากที่สุดและเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเทรดเดอร์ส่วนใหญ่เนื่องจากมีสภาพคล่องสูง (ความง่ายในการซื้อและขายสกุลเงิน) และสเปรดต่ำ (ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อและขาย) คู่เงินหลักจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นใหม่ และเป็นคู่เงินที่ดีในด้านของปริมาณและสภาพคล่อง สำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนสูงขึ้นและยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น คู่สกุลเงินรองและคู่สกุลเงินพิเศษมักมีความเคลื่อนไหวที่รุนแรงกว่า

คู่สกุลเงินที่มีการซื้อขายมากที่สุดมักเป็นคู่หลัก ซึ่งประกอบด้วยดอลลาร์สหรัฐควบคู่กับอีกหนึ่งสกุลเงินสำคัญ เช่น EUR/USD, GBP/USD และ USD/CHF คู่เงินหลักเหล่านี้มักมีสภาพคล่องสูงและสเปรดต่ำ ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ส่วนใหญ่

คู่สกุลเงินแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม: คู่หลัก คู่รอง และคู่พิเศษ คู่หลักประกอบด้วยดอลลาร์สหรัฐจับคู่กับสกุลเงินหลักอื่น เช่น EUR/USD ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยน ระหว่างดอลลาร์สหรัฐกับยูโร คู่สกุลเงินประเภทนี้ได้รับความนิยมมากที่สุดและมีปริมาณการซื้อขายสูงสุด คู่รอง คือคู่สกุลเงินสำคัญระดับโลกที่ไม่มีดอลลาร์สหรัฐอยู่ในคู่ เช่น EUR/GBP ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนระหว่าง ยูโรและปอนด์อังกฤษ คู่เหล่านี้มักได้รับความนิยมรองจากคู่หลัก แต่ยังคงมีสภาพคล่องที่ดีและมีการซื้อขายอย่างต่อเนื่อง คู่พิเศษ คือคู่สกุลเงินที่ประกอบด้วยสกุลเงินหลักกับสกุลเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่ ตัวอย่างเช่น USD/TRY ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยน ระหว่างดอลลาร์สหรัฐกับลีราตุรกี คู่ฟอเร็กซ์เหล่านี้มักมีสภาพคล่องต่ำและมีความผันผวนสูงกว่า การเข้าใจความแตกต่างพื้นฐานของคู่สกุลเงินแต่ละประเภทจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเลือกกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมได้

ราคาของคู่สกุลเงินฟอเร็กซ์จะขึ้นอยู่กับกลไกของอุปสงค์และอุปทาน เช่นเดียวกับตลาดเสรีอื่น ๆ ซึ่งหมายความว่า เมื่อมีความต้องการซื้อสกุลเงินมากกว่าการขาย ราคาจะปรับตัวขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อมีการขายมากกว่าการซื้อ ราคาจะปรับตัวลง ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออุปสงค์และอุปทาน ซึ่งจะส่งผลต่อราคาของคู่สกุลเงิน มาจากหลายปัจจัย ได้แก่: การดำเนินนโยบายของธนาคารกลาง อัตราเงินเฟ้อ เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ ข้อมูลการจ้างงาน สภาวะตลาด และความต้องการรับความเสี่ยง การติดตามข้อมูลเหล่านี้อย่างใกล้ชิดถือเป็นหัวใจสำคัญของการเทรดสกุลเงินให้ประสบความสำเร็จ และเครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับการติดตามข้อมูลสำคัญเหล่านี้คือปฏิทินเศรษฐกิจ

EC Markets เป็นโบรกเกอร์ระดับโลกที่มีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดและให้บริการด้วยเงื่อนไขการเทรดที่ยอดเยี่ยมทั้งสำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพและมือใหม่ ทำไมถึงต้องเทรดฟอเร็กซ์กับ EC Markets? เมื่อเทรดเดอร์เลือกเทรดฟอเร็กซ์กับ EC Markets พวกเขาจะสามารถเข้าถึงคู่สกุลเงินมากมาย สเปรดต่ำ ค่าคอมมิชชั่นต่ำ และใช้เลเวอเรจได้ รวมถึงมีการให้บริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม และยังสามารถเข้าถึงเครื่องมือเทรดฟรีที่ EC Market EC Markets จึงเป็นประตูสู่การเทรดฟอเร็กซ์ของคุณ!

เทรดไปกับนักสนุกเกอร์มือหนึ่งของโลก

ข้อมูลเชิงลึกล่าสุด

ฟอเร็กซ์

21 Oct 2025

น้ำมัน เงินเฟ้อ และดอลลาร์: พลังงานจะยังคงเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงในปี 2025 ได้หรือไม่?

การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันในช่วงต้นปี 2025 ทำให้ต้นทุนพลังงานกลายเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ความคาดหวังเงินเฟ้อของครัวเรือนในสหรัฐที่ยังคงอยู่ในระดับสูงทำให้นักลงทุนใช้การลงทุนในน้ำมันเป็นกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ตลาดน้ำมันจึงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดอัตราเงินเฟ้อ มูลค่าของดอลลาร์ และความเชื่อมั่นของตลาด

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม
ฟอเร็กซ์

20 Oct 2025

ธนาคารอ่อนตัว ขณะที่ทองคำและพันธบัตรพุ่งขึ้น|สรุปรายสัปดาห์: 13–17 ตุลาคม 2025

ตลาดสหรัฐเปิดสัปดาห์ด้วยความไม่แน่นอน เนื่องจากการปิดหน่วยงานรัฐบาลเข้าสู่สัปดาห์ที่สาม ส่งผลให้ข้อมูลเศรษฐกิจหลักถูกระงับชั่วคราว เจ้าหน้าที่เฟดออกมาแสดงจุดยืนเพื่อเติมเต็มช่องว่าง โดยเน้นแนวทางการผ่อนคลายอย่างค่อยเป็นค่อยไป อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงทรงตัวสูง โดย PCE Core ของสหรัฐในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ประมาณ 2.9% เมื่อเทียบรายปี เนื่องจากการปิดหน่วยงานทำให้การประกาศ CPI ของสหรัฐล่าช้า (เลื่อนไปปลายเดือนตุลาคม) ตลาดจึงจับตามองสัญญาณจากเฟดอย่างใกล้ชิด

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม
ฟอเร็กซ์

16 Oct 2025

อะไรคือเลเวอเรจในการเทรด และเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่ามากเกินไป?

เลเวอเรจ (Leverage) ในการเทรดอาจฟังดูเหมือนพลังพิเศษที่ช่วยให้คุณทำได้มากขึ้นด้วยเงินทุนน้อยลง แต่จริง ๆ แล้วเลเวอเรจคืออะไร? มันคือการกู้เงินจากโบรกเกอร์เพื่อเพิ่มขนาดของสถานะการเทรดให้ใหญ่กว่าทุนของคุณเอง เลเวอเรจมีพลังเพราะมันสามารถขยายทั้งกำไรและขาดทุน ดังนั้นเทรดเดอร์จึงจำเป็นต้องใช้มันอย่างระมัดระวัง

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม
ฟอเร็กซ์

14 Oct 2025

จากการเข้มงวดสู่การผ่อนคลาย: หลังจากการลดดอกเบี้ยครั้งแรก ตลาดหุ้นทั่วโลกจะเป็นอย่างไร?

หลังจากสองปีของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว ธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มเปลี่ยนทิศทางแล้ว ในปี 2025 ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากเกือบ 4% เหลือประมาณ 2% ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ก็เริ่มถอนเท้าออกจากเบรก โดยลดดอกเบี้ยครั้งแรก 0.25% จากจุดสูงสุด และส่งสัญญาณว่าจะมีการลดเพิ่มเติมภายในสิ้นปี ยังไม่รวมถึงธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ที่เริ่มลดดอกเบี้ยเช่นกัน

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม
ฟอเร็กซ์

13 Oct 2025

เฟดส่งสัญญาณผ่อนคลาย ขณะที่ความตึงเครียดทางการค้ากลับมาอีกครั้ง | สรุปตลาดประจำสัปดาห์: 6–10 ตุลาคม 2025

ตลาดเข้าสู่เดือนตุลาคมโดยอยู่ท่ามกลางแรงกดดันสองด้าน — ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เริ่มส่งสัญญาณพร้อมผ่อนคลายเพิ่มเติม และการกลับมาของความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างกะทันหัน

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม
อ่านข้อมูลเพิ่มเติม